Username:
Password:
บ้านกลอนน้อยฯ
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
บ้านกลอนน้อย - กลอนสบายๆ สไตล์ลิตเติลเกิร์ล
>>
ห้องเรียน
>>
ห้องเรียนรู้คำประพันธ์ ประเภทกลอน
>>
- กลอนบทละคร -
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: - กลอนบทละคร - (อ่าน 1063 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Black Sword
ผู้บริหารเว็บ
จำนวนผู้เยี่ยมชม:
65535
ออฟไลน์
ID Number: 88
จำนวนกระทู้: 10329
เมื่อ มยุรธุชกางปีกฟ้อน... มวลอักษรก็ร่อนรำ
|
|
- กลอนบทละคร -
«
เมื่อ:
20, กุมภาพันธ์, 2568, 10:54:09 PM »
บ้านกลอนน้อยฯ
Permalink:
- กลอนบทละคร -
-
กลอนบทละคร
-
"กลอนบทละคร"
เป็นกลอนที่ผู้ประพันธ์แต่งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะใช้ในการแสดงละครรำ หรือใช้ขับร้องประกอบการแสดงเพื่อความบันเทิง มีรูปแบบฉันทลักษณ์ทั้งคณะและสัมผัสเหมือนกับ
กลอนสุภาพ
แต่มีข้อแตกต่างบางประการดังนี้คือ
๑)
จำนวนค
ำ
(ดูผังด้านบนประกอบ)
- ในวรรคหนึ่งมีได้ตั้งแต่ ๖ ถึง ๙ คำ แต่ที่นิยมกันมักเป็น ๖ หรือ ๗ คำ (ในผังแสดงไว้แบบ ๗ คำ)
๒)
ลักษณะการส่งสัมผัส
(ดูผังด้านบนประกอบ)
- การส่งสัมผัสของกลอนบทละครนั้น เฉพาะระหว่างวรรคหน้ากับวรรคหลัง (วรรคที่ ๑ กับ ๒ / วรรคที่ ๓ กับ ๔) สามารถส่งและรับสัมผัสได้ตั้งแต่คำที่ ๑-๕ ตามความเหมาะสม ในส่วนอื่นเหมือนกลอนสุภาพทั่วไป
๓)
การขึ้นต้น
การขึ้นต้นวรรคแรกของกลอนบทละครนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งจะช่วยบ่งชี้ให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเนื้อความในตอนนี้ กำลังกล่าวถึงตัวละครใด หรือสถานการณ์ใด เมื่อจะขึ้นความใหม่หรือเปลี่ยนทำนองร้องใหม่ ซึ่งจะจำแนกดังต่อไปนี้
๓.๑)
ขึ้นต้นว่าด้วยคำว่า
"เมื่อนั้น"
ใช้ขึ้นต้นเมื่อกล่าวถึงตัวละครที่มีศักดิ์สูง หรือหากไม่มีศักดิ์สูงแต่เป็นตัวละครเอกของเรื่อง เช่น ไกรทอง ไม่ได้มียศศักดิ์สูง เป็นชาวบ้าน แต่ว่าเป็นตัวเอก ก็ใช้ เมื่อนั้น เช่นกัน
๓.๒)
ขึ้นต้นด้วยคำว่า
"บัดนั้น"
ใช้ขึ้นต้นเมื่อกล่าวถึงตัวละครทั่ว ๆ ไป
๓.๓)
ขึ้นต้นด้วยคำว่า
"มาจะกล่าวบทไป"
ใช้ขึ้นต้นเมื่อจะเริ่มต้นตอนใหม่หรือเนื้อความใหม่
๓.๔)
ขึ้นต้น
แบบกลอนดอกสร้อย
เช่น รถเอ๋ยรถทรง, ลมเอ๋ยลมลิ้น ฯลฯ ใช้เมื่อต้องการบรรยายต่าง ๆ เช่น เกี้ยวพาราสี ชมกระบวนทัพ ตัดพ้อต่อว่า เป็นต้น
๓.๕)
ขึ้นต้น
แบบเต็มวรรค
ธรรมดา ๆ เหมือนกลอนสุภาพทั่วไป
ทั้งนี้
คำขึ้นต้น
"เมื่อนั้น"
,
"บัดนั้น"
และ
"มาจะกล่าวบทไป"
ทั้ง ๓ อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องส่งสัมผัสไปยังวรรคที่ ๒ ก็ได้ แต่คำขึ้นต้น
แบบดอกสร้อย
และ
แบบเต็มวรรค
นั้น จะต้องส่งสัมผัสไปยังวรรคที่ ๒ เสมอ
เนื่องจากกลอนบทละครใช้ประกอบการแสดง บางแห่งจึงมักมีการบอกทำนองของเพลงที่ใช้ร้องกลอนบทละครตอนนั้นกำกับไว้เมื่อเริ่มต้นตอนหรือเริ่มเนื้อความใหม่ เช่น “ช้า” “โอด” “โทน” หมายถึง เพลงช้า เพลงโอด และเพลงโทน นอกจากนี้ เมื่อจบเนื้อความแต่ละตอน มักมีการระบุจำนวนคำกลอน (บาท) ไว้ตอนท้าย และอาจจะมีชื่อเพลงหน้าพาทย์ที่จะบรรเลงรับต่อจากนั้นด้วย เช่น "ฯ ๔ คำ ฯ เชิด" หมายถึง กลอนตอนนี้มี ๔ คำกลอน หรือ ๔ บาท (เท่ากับ ๒ บท) และกำกับเพลงหน้าพาทย์ "เชิด" ให้วงปี่พาทย์เล่นรับ
00000000000000000000000000000000000000000
- ตัวอย่างคำประพันธ์ "
กลอนบทละคร
" บางส่วน -
- กลอนบทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ -
๐ มาจะกล่าวบทไป ถึงรามสูรยักษา
อาศัยในกลีบเมฆา เป็นที่ผาสุกสำราญ
มีศรขวานเพชรเป็นอาวุธ ฤทธิรุทรหยาบช้ากล้าหาญ
ทั้งหกสวรรค์ชั้นบาดาล เกรงเดชขุนมารไม่ทานกร
เพื่อนยิ่งอิ่มเอิบกําเริบหนัก ทรงศักดิ์ดั่งหนี่งไกรสร
อ่าองค์ทรงเครื่องอาภรณ์ จับขวานฤทธิรอนแล้วเหาะมา ฯ
ฯ ๖ คํา ฯ เชิด
๐ รวดเร็วดั่งหนึ่งลมพัด เฉวียนฉวัดไปในเวหา
เยี่ยมออกจากกลีบเมฆา อสุราเห็นแก้วแววไว
ซึ่งนางเมขลาโยนเล่น ยิ่งเห็นยิ่งชอบอัชฌาสัย
ยิ่งพิศยิ่งติดต้องใจ จะใคร่ได้ซึ่งดวงจินดา
หมายเขม้นเข่นเขี้ยวจะราญรอน กรกุมขวานเพชรเงื้อง่า
เผ่นโผนโจนไปในเมฆา ไล่นางเมขลาด้วยฤทธี ฯ
ฯ ๖ คํา ฯ เชิด
๐ เมื่อนั้น เทวานางฟ้าทุกราศี
แลเห็นรามสูรอสุรี มาไล่ราวีก็ตกใจ
หน้าซีดตัวสั่นขวัญหาย วุ่นวายไม่สมประดีได้
เสียงมี่อื้ออึงคะนึงไป สุราลัยวิ่งพะปะกัน ฯ
ฯ ๔ คํา ฯ เชิด
๐ นางฟ้าอุ้มจูงเทวบุตร อุตลุดไปทั้งสรวงสวรรค์
อันฉิ่งกรับทับโทนทั้งนั้น สารพันแตกสิ้นไม่สมประดี ฯ
ฯ ๒ คํา ฯ เชิด
๐ อันเทพบุตรกับนางฟ้า ไม่อาจดูหน้ายักษี
ความกลัวดั่งจะสิ้นชีวี หนีไปยังทิพวิมาน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๐ บัดนั้น รามสูรฤทธิไกรใจหาญ
เห็นเทวัญนางฟ้ายุพาน วิ่งหนีลนลานวุ่นไป
ยังแต่โฉมนางเมขลา เข้าแอบเมฆากลีบใหญ่
อสุราสำแดงฤทธิไกร โลดโผนโจนไล่ราวี ฯ
ฯ ๔ คํา ฯ เชิด
............... ฯลฯ ...............
โอ้โลม
๐ สุดเอยสุดสวาท นุชนาฏเลิศล้ำสาวสวรรค์
รักเจ้าเท่าดวงชีวัน ควรฤๅรําพันเจรจา
ก็ย่อมแจ้งใจอยู่ในอก อย่ายกโทษพี่เลยกนิษฐา
ว่าพลางอิงแอบแนบกายา กรลอดสอดคว้ายุพาพาล
ชมเนตรเกศแก้มแล้วรับขวัญ เชยมณฑาสวรรค์หอมหวาน
พยับคลุ้มชอุ่มอนธการ ฟ้าลั่นบันดาลคำรน
เมขลาล่อแก้วแววไว รามสูรเลี้ยวไล่ในเวหน
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสนั่นอึงอล ฝนสวรรค์พรอยพรมมาลี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ กล่อม
ช้า
๐ เมื่อนั้น โฉมนางมณโฑมารศรี
ได้ร่วมรสทศพักตร์อสุรี เทวีพิศวาสจะขาดใจ
ลืมองค์พญาพานรินทร์ ลืมพิชัยขีดขินกรุงใหญ่
ลืมทั้งโอรสยศไกร ลืมฝูงนางในกำนัล
เพลิดเพลินด้วยสมบัติพัสถาน แสนสำราญเป็นสุขเกษมสันต์
เฟี้ยมเฝ้าประดิพัทธ์ผูกพัน กับองค์ทศกัณฐ์สามี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๐ มาจะกล่าวบทไป ถึงพระอังคตฤาษี
แต่แหวะครรภ์มณโฑเทวี พระมุนีใส่ท้องแพะไว้
ตั้งพิธีรักษากุมาร จะมีเหตุเภทพาลก็หาไม่
ครบกำหนดทศมาสยามชัย ก็เข้าไปขีดขินพระนคร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๐ ครั้นถึงจึ่งตรงขึ้นปราสาท นั่งอาสน์เนาวรัตน์ประภัสสร
แล้วมีวาจาอันสุนทร ดูก่อนพญาพาลี
กุมารซึ่งใส่ท้องแพะไว้ คิดได้โดยเดือนดิถี
ถ้วนกำหนดทศมาสฤกษ์ดี วันนี้กูจะแหวะออกจากครรภ์ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๐ เมื่อนั้น ลูกท้าวหัสนัยน์รังสรรค์
ได้ฟังพระมหานักธรรม์ อภิวันท์แล้วตอบวาจา
อันคุณพระมหาอาจารย์ ขอประทานใส่ไว้เหนือเกศา
ซึ่งจะแหวะเอาองค์กุมารา ตัวข้ามีความยินดี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๐ ตรัสแล้วมีราชโองการ สั่งนางพนักงานสาวศรี
จงนำนางแพะมาบัดนี้ ให้ทันนาทียามชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๐ บัดนั้น ฝ่ายนางพนักงานน้อยใหญ่
รับสั่งพระองค์ทรงภพไตร บังคมไหวแล้วรีบไปพร้อมกัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๐ ครั้นถึงที่นางแพะอยู่ จึ่งหมู่อนงค์สาวสรรค์
บ้างจูงบ้างล้อมถนอมครรภ์ พานางแพะนั้นเข้ามา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
............... ฯลฯ ...............
- กลอนบทละคร เรื่อง อิเหนา -
ชมดง
๐ เดินเอยเดินทาง สองข้างพ่างพื้นรื่นร่ม
พี่เลี้ยงเคียงคอยบังคม พระชี้ชมรุกขชาติดาษเดียร
บ้างผลิดอกออกผลพวงดก ดั่งไม้ฉากกระจกจีนเขียน
ป่าระหงดงยางนางตะเคียน ใต้ต้นแลเตียนสะอาดตา
มะลิวัลย์พันพุ่มคัดค้าว ฤดูดอกออกขาวทั้งราวป่า
บ้างเลื้อยเลี้ยวเกี้ยวกิ่งเหมือนชิงช้า ลมพาพัดแกว่งดั่งแกล้งไกว
ร่มรังบังแสงทินกร ที่หาบคอนเลื่อยล้าเข้าอาศัย
สารวัดรัดเร่งพลไกร คลาไคลไปตามมรคา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๐ แต่แรมร้อนนอนในพนาเวศ มาถึงเขตนครหมันยา
หยุดประทับยับยั้งโยธา เสด็จขึ้นพลับพลาพนาลี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา
๐ บัดนั้น ขุนด่านแจ้งความถ้วนถี่
จึงเหยียบโกลนโผนเผ่นขึ้นพาชี ขับขี่ตีควบเข้าเวียงชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๐ ครั้นถึงจึงตรงไปหา ทั้งสี่เสนาผู้ใหญ่
เรียนคดีชี้แจงให้แจ้งใจ โดยในอนุสนธิ์แต่ต้นมา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๐ บัดนั้น เสนีได้ฟังไม่กังขา
ก็เข้าไปในพระโรงรัตนา กราบทูลกิจจาทุกประการ
บัดนี้อิเหนากุเรปัน ยกพวกพลขันธ์มาถึงด่าน
จะเข้ามาประณตบทมาลย์ ภูบาลจงทราบพระบาทา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๐ เมื่อนั้น ระตูผู้ผ่านหมันหยา
ได้ฟังจึงสั่งเสนา จงไปรับนัดดามาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
............... ฯลฯ ...............
(อิเหนา : พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒)
บ้านกลอนน้อยลิตเติลเกิร์ล
- Black Sword -
(หมู มยุรธุชบูรพา)
•
กลับสู่หน้า
สารบัญ
กลอน
คลิก
•
กระโดดสู่ห้องเรียน
กาพย์
คลิก
•
กระโดดสู่ห้องเรียน
โคลง
คลิก
•
กระโดดสู่ห้องเรียน
ฉันท์
คลิก
•
กระโดดสู่ห้องเรียน
ร่าย
คลิก
•
กระโดดสู่ห้องเรียน
กลอนกลบท
คลิก
•
กระโดดสู่ห้องเรียน
โคลงกลบท
คลิก
•
กระโดดสู่ห้องศึกษา
ภาพโคลงกลบท
คลิก
รายนามผู้เยี่ยมชม :
หยาดฟ้า
,
ข้าวหอม
,
ขวัญฤทัย (กุ้งนา)
,
ต้นฝ้าย
,
ลิตเติลเกิร์ล
,
คิดถึงเสมอ
บันทึกการเข้า
..
รวมบทกลอน "
ที่นี่เมืองไทย...
"
รวมบทกลอน "
ร้อยบุปผา
"
รวม
บทประพันธ์ทั่วไป
"Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
รวมบทประพันธ์
กลบท
"Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
รวมบทประพันธ์
ฉันท์
"Black Sword (หมู มยุรธุชบูรพา)"
กลอน
สุภาษิต-คำพังเพย-สำนวนไทย
บ้านกลอนน้อย
ลานอักษร มยุรธุชบูรพา
..
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
บ้านกลอนน้อย ลิตเติลเกิร์ล - มยุรธุชบูรพา
-----------------------------
=> อ่านข้อกำหนด กฎระเบียบต่าง ๆ - สมาชิกใหม่ ทักทาย แนะนำตัวที่นี่
=> ห้องกลอน คุณอภินันท์ นาคเกษม
=> ห้องกลอน คุณคนบอ มือสี่
=> สารบัญกลอน สมาชิกนักกลอน
-----------------------------
ห้องเรียน
-----------------------------
=> ห้องเรียนรู้คำประพันธ์ ประเภทกลอน
=> ห้องเรียนฉันท์
=> ห้องเรียน กลบท
=> ห้องเรียน โคลงกลบท
=> ห้องศึกษา ภาพโคลงกลบท
=> ห้องศึกษา กาพย์ โคลง ร่าย
=> ห้องหนังสือ บ้านกลอนน้อย
=> ห้องฟัง การขับ เสภา และอื่น ๆ
-----------------------------
คำประพันธ์ แยกตามประเภท
-----------------------------
=> กลอน ร้อยกรองหลากลีลา
=> คำประพันธ์เนื่องในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
=> กลอนธรรมะ-สุภาษิต-ปรัชญา-คำคม
=> กลอนเปล่าสบาย ๆ
=> กลอนจากที่อื่น และจากกวีที่ชื่นชอบ
=> โคลง-กาพย์-ฉันท์-ร่าย-ลิลิต
=> กลบท
=> นิยาย-เรื่องสั้น-บทความ-ความเรียง-เรื่องเล่าทั่วไป
=> ห้องนั่งเล่นพักผ่อน
===> เส้นคั่นสวย ๆ
===> รูปภาพน่ารัก
กำลังโหลด...