ประเภทของกรรม ๑๖: กัมมจตุกะ
☆"กรรม"คือการ ทำตน พาตนช่วย ทำการด้วย จิตใจ กายใจสม
ทำดีเรียก"กรรมดี" ใครดีชม "กรรมชั่ว"ตรม ตรงข้าม เพราะข้ามเกณฑ์
☆แจกกรรมตาม "เวลา" ผลลาล่วง มีสี่ช่วง ต้องเกิด บังเกิดเห็น
กรรมให้ผล เรียงราย ตามรายเป็น ไม่ลัดเว้น ยื้อแย่ง แก่งแย่งกัน
☆หนึ่งให้ผล"ภพนี้" โลกนี้คง ชีพดำรง ทุกข์สุข หวังสุขสันต์
สอง"ภพหน้า" ถัดไป พาไปพลัน ดีทุกวัน จะรื่น ระรื่นใจ
☆สาม"ภพต่อ ต่อไป" ผ่านไปแล้ว ทำดีแคล้ว สิ้นทุกข์ หมดทุกข์ขัย
ข้อสี่"อโหสิกรรม" สิไกล จะหยุดได้ จองเวร หมดเวรลง
☆กรรมแยกตาม "หน้าที่" สิ่งที่ทำ สี่ข้อนำ สัตว์ภพ สู่ภพสงค์
ระดับกรรม แตกต่าง ทำต่างตรง แหล่งเกิดบ่ง ต่างที่ แดนที่มา
☆"ชนกกรรม"หนึ่ง,เกิด แต่งเกิดร่าง ตัวนำทาง สู่ภพ เลือกภพหนา
สอง"ซ้ำเติมหรือช่วย" ดลช่วยพา เสริมต่อมา หลังเกิด บังเกิดกาย
☆ข้อสาม"กรรมเบียดเบียน"เฝ้าเบียนตาม กรรมตรงข้าม อ่อนแรง เปลี้ยแรงหลาย
ข้อสี่"กรรมตัดรอน" จะรอนคลาย ทุกกรรมวาย สิ้นชีพ หมดชีพราน
☆กรรมแจง"ลำดับผล" ให้ผลแรง ยักเยื้องแซง ช้า,เร็ว ก็เร็วผลาญ
มีสี่อย่าง จะกล่าว ว่ากล่าวกาล ชาติสองพาน เริ่มต้น เป็นต้นไป
☆ข้อหนึ่ง"ครุกรรม" เป็นกรรมหนัก บาปประจักษ์ ที่สุด แจงสุดไหว
ให้ผลก่อน กรรมอื่น ก่อนอื่นใด นรกไซร้ สู่ภูมิ เกิดภูมิตรม
☆สมาบัติแปดฌาน ลุฌานแล้ว พรหม์โลกแน่ว เลิศสรวง เกินสรวงสม
ฆาตพ่อแม่ มีโทษ ถูกโทษจม นรกงม อเวจี และจีรัง
☆ข้อสอง"กรรมใกล้ตาย" ก่อนตายทำ กรรมใหม่จำ ผลตาม ไปตามผัง
ครุกรรม ไม่ทำ หยุดทำฟัง กรรมนี้สั่งได้ผล ส่งผลพลัน
☆สาม"อาจิณกรรม"ทำ ได้ทำนิตย์ จะสัมฤทธิ์ ต่อไป ส่งไปสรร
ทำกุศล ลุสรวง สู่สรวงครัน ทำเลวหวั่น นรก โทษรกคอย
☆สี่,"กรรมอย่างอื่น" เว้น ข้อเว้นตาม กล่าวแล้วสาม กรรมนี้ โทษนี้ถอย
ไม่ตั้งใจ ไม่แรง เหลือแรงปรอย ชาติสามพลอย ได้เพริศ อย่างเพริศพราว
☆ถ้าไม่มี กรรมอื่น แต่อื่นใด กรรมนี้ให้ บังเกิด ก่อเกิดฉาว
ทำดี สุคติ กิตติวาว ทำเลวคาว แย่แน่ แท้แน่นอน
☆จำแนกกรรม สี่แบบ เป็นแบบอย่าง ไปภพต่าง เพราะกรรม หลากกรรมถอน
ทำความเลว ไปภพ ต่ำภพทอน ทำดีจร ภูมิรื่น อันรื่นรมย์
☆"อบายภูมิ"ภพที่ แบบที่หนึ่ง ของผู้ซึ่ง ทำชั่ว กายชั่วถม
ทั้งวาจา และใจ พร้อมใจกรม ฝักใฝ่ซม ความเลว ที่เลวลน
☆"สุคติภูมิ" สองซึ่งสองนี้ ของคนดี ที่ใจ กายใจผล
แหล่งเกิดเทวดา ประดาดล รวมคนบน โลกนี้ เช่นนี้เอย
☆"รูป์พรหม" สาม,แหล่งเกิด เหตุเกิดจาก สมาธิ์มาก ได้ฌาน องค์ฌานเผย
อัปปนาฌานนี้ จิตนี้เคย ใสนิ่งเลย เลิศยิ่ง ฌานยิ่งนาน
☆สี่,"อรูปพรหม" ชั้นพรหมนี้ รับผู้ที่ ละทุกข์ สุข,ทุกข์หาญ
อรูปฌานพึงได้พึงชาญ สงบปาน น้ำนิ่ง จิตนิ่งเนา
☆จะนิพพาน มรรคญาน เกิดญานได้ ตัณหาไซร้ ตัดธาตุ หมดธาตุเผา
อวิชชา ดับสูญ ก็สูญเงา วัฏฏะเศร้า หนีพ้น ไกลพ้นเทอญฯ|ะ
แสงประภัสสร
ที่มา
พระอภิธรรม ปริเฉทที่ ๕ เล่ม ๒
กัมมจตุกะ,กรรม ๑๖=แบ่งกรรมออกเป็น ๔ หมวดๆละ๔ รวม ๑๖ คือ ๑.ปากกาลจตุกกะ(ว่าด้วยเวลาแห่งการให้ผล) มี ๔ คือ
๑.๑ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือกรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน ๑.๒ อุปปัชชเวทนียกรรม จะให้ผลในชาติที่สอง ๑.๓ อปราปริยเวทนียกรรม จะให้ผลในชาติที่สามเป็นต้นไปจนกว่าจะถึงนิพพาน ๑.๔ อโหสิกรรม คือกรรมที่ไม่ให้ผล
๒.กิจจตุกกะ (กรรมที่ว่าด้วยหน้าที่) มี ๔ คือ ๒.๑ ชนกกรรม กรมที่ทำให้วิบากเกิดขึ้น ๒.๒ อุปัตถัมภกกรรม คือกรรมที่ช่วยอุดหนุนกรรมอื่น ๒.๓ อุปปีฬกกรรม คือกรรมที่เข้าไปเบียดเบียนกรรมอื่นๆ ๒.๔ อุปฆาตกรรม คือกรรมที่เข้าไปตัดรอนกรรมอื่นๆ หรือตัดรอนผลของกรรมอื่นๆ
๓.ปากทานปริยายจตุกกะ(ว่าด้วยลำดับการให้ผล) มี ๔ คือ ๓.๑ ครุกรรม คือกรรมอย่างหนักที่กรรมอื่นๆไม่สามารถห้ามได้ ๓.๒ อาสันนกรรม คือกรรมที่ทำไว้ เมื่อใกล้จะตาย ๓.๓ อาจิณกรรม คือกรรมที่ทำไว้เสมอๆ ๓.๔ กฏัตตากรรม คือกรรมที่ทำไว้พอประมาณไม่เท่าถึงกรรมทั้งสาม หรือเป็นกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ
๔.ปากัฏฐานจตุกกกะ (ว่าด้วยฐานะแห่งการให้ผล) มี ๔ คือ ๔.๑ อกุศลกรรม คือกรรมที่ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ๔.๒ กามาวจรกุศลกรรม คือกรรมที่ให้ผลนำไปเกิดในสุคติภูมิ ๗ ได้แก่ มนุษย์ และสวรรค์อีก ๖ ชั้น ๔.๓ รูปาวจรกุศลกรรม คือกรรมที่ให้ผลนำไปเกิดในรูปพรหม ๑๖ ชั้น ๔.๔ อรูปวจรกุศลกรรม คือ กรรมที่ให้ผลนำไปเกิดใน รูปพรหม ๔ ชั้น
ชนกกรรม=กรรมเป็นตัวแต่งสัตว์ให้เกิด
กรรมซ้ำเติมหรือช่วย=อุปัตถัมภกรรม มีหน้าที่ค้ำชูกรรมอื่นของสัตว์ที่เกิดแล้วให้ได้รับทุกข์หรือสุขให้มีพลังมากขึ้น
นรกภูมิ=เป็นภูมิที่ลงโทษผู้ทำบาป
อเวจีนรก=เป็นนรกที่ต่ำสุดใน ๘ ชั้น สำหรับผู้ฆ่าพ่อแม่
ครุกรรม=กรรมที่หนัก ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ทางกุศล คือผู้ทำความดีจนบรรลุอรหันต์ ทางอกุศล กรรมที่หนักคือ ฆ่าพ่อแม่ ทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นต้น
มรรคญาณ=จะเกิดขึ้นเมื่อถึงพระนิพพาน เป็นธรรม ที่สงบ จากสังขารธรรมทั้งปวง
ธาตุ=ร่างกายคนมี ๖ ธาตุ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ (จิต) มาประกอบเป็นร่างกายให้คงอยู่ได้
อวิชชา=ความไมรู้แจ้งในอริยสัจ ๔
(ขอบคุณเจ้าของภาพจากอินเทอร์เน๊ต)