คิดไม่ทัน นึกถึงสภาพการเป็นอยู่สมัยก่อนแล้วรู้สึกสนุก และประทับใจ มันเป็นบรรยากาศที่น่ารัก เคลือบด้วยความโอบอ้อมอารี เกื้อกูลกัน นี่คือความสันติสุขของเพื่อนมนุษย์ ทุกวันนี้น่าเสียดายบรรยากาศเช่นนี้คอยลบเลือน และกำลังหายไปอย่างน่าเศร้ายิ่ง วัฒนธรรมที่ดีงามที่มีค่ายิ่งอย่างหนึ่งในสังคมไทยสมัยเมื่อ 40 ปีก่อนคือการเยี่ยมญาติ การไปเยี่ยมญาติแต่ละครั้งมีอุปสรรคบ้าง เข่น ความลำบากของถนนหนทาง ระยะทางที่ไกล แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่จะคอยปิดกั้นความเป็นญาติมิตรกันได้เลย กลับเป็นแรงจูงใจเสียด้วยซ้ำ นี่แหละที่คนสมัยก่อนรู้จักความเข้าใจ และเห็นใจกัน มีน้ำใจต่อกัน
การไปเยี่ยมญาติแต่ละครั้งต้องมีข้าวของติดไม้ติดมือด้วย จริง ๆ มันไม่ใช่แค่ติดไม้ติดมือหรอก มันติดที่หัวคือถ้าเป็นผู้หญิงก็ทูนสิ่งของไป อีกอย่างก็ติดบ่า คือถ้าผู้ชายก็ต้องหาบต้องคอน ญาติมาเยี่ยมกันในสภาพเช่นนี้จะไม่เห็นน้ำอกน้ำใจกันอย่างไร หนทางก็ลำบาก ระยะทางก็ไกล ร่างกายก็ต้องบรรทุกข้าวของมาด้วย
วันหนึ่งที่บ้านลุงผมเองมีญาติมาเยี่ยมสามคน ติดเพื่อนมาด้วยสองคนรวมแล้วไม่เกินห้าจึงจะสอบผ่านชั้น ก. หรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สมัยนั้น บรรดาญาติมิตรมาถึงบ้านประมาณราวหริ่งเรไรขับกล่อม นกฮูกเริ่มประสานเสียงจังหวะอย่างประปราย และค่อยเพิ่มทวี จากนั้นก็แว่นยินเสียงเจ้าเค้าแมวสอดแทรก ลุงผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวกำชับกำชาภรรยาผู้น่ารักแม้จะไร้ซึ่งฟันฟางให้ทำกับข้าวต้อนรับเป็นพิเศษ
สมัยก่อนครัวไฟทางปักษ์ใต้ประกอบด้วย "แม่ไฟ" แม่ไฟทำด้วยดินเหนียวเนื้อที่ประมาณ 1 ตารางเมตรส่วนหนาประมาณ 1 คืบ แม่ไฟใช้ตั้งอั้งโล่ หรือก้อนเส้าด้วย สมัยก่อนใช้ไม้ฟืนหรือถ่านเป็นเชื้อเพลิงจึงต้องทำแม่ไฟจากดินเหนียวไว้รองรับเผื่อป้องกันมิให้เศษไม้ฟืน ถ่านที่ติดไฟตกหล่นบนพื้นลุกไหม้เป็นอันตราย เหนือแม่ไฟห่างประมาณหนึ่งเมตรกว่า ๆ จะมี "ผรา" ผราทำด้วยเรือกไม้ไผ่ กว้างขนาดเท่าแม่ไฟ ส่วนยาวอาจจะยาวมากกว่านั้นก็ได้ ผราเป็นที่เก็บอาหารแห้งทุกชนิด เนื้อย่าง ปลาย่าง ปลาแห้ง เนื้อแห้ง ส้มแขก เปลือกส้มมวงแห้ง กุ้งแห้ง หอม กะเทียม สารพัดว่างั้นเถอะ แม้แต่กะปิ เกลือ บางบ้านบางครัวก็ไว้ที่บนผรา เนื้อย่างจากผราหอมควันไฟเมื่อนำมาแกงกลิ่นควันไฟยังคงมีจึงเป็นรสชาติที่อร่อยอีกแบบ เสียดายสมัยนี้ไม่ได้ชิมลิ้มรสเลย
เหตุการณ์เริ่มสนุกในช่วงแรกคือตอนรับประทานอาหาร กับข้าวทางปักษ์ใต้สมัยนั้นเขาจะจัดใส่ถ้วย แล้ว นำมาใส่ถาดอีกที จะเรียกว่าสำรับก็ได้ ที่จัดใส่ถาดเพราะพื้นห้องครัวปูด้วยฟากไม้ไผ่เป็นส่วนใหญ่ ขืนเอาถ้วยไม่ใส่ถาดมาตั้งบนฟากพื้นครัวก็น่าดู คิดดูเอาเองว่าหน้าดูอย่างไร เฉลยมันก็หกเรี่ยราดซิ หรือถ้าไม่หกมันก็คงถึงเจ็ดถึงแปดไม่ก็ดันพ้นไปถึงสิบ ถ้าถึงสิบอดกินแน่ นี่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้หากเกิดถาดบินไปด้วยน้ำมือคุณลุงเผลอไปตอนที่กรอกน้ำจันทน์มากไปหน่อยก็น่าจะใช้ผ้าขาวม้า ผ้าขาววัว ผ้าขาวควายมารองปูแทนก็ยังไหว นี่ตำราจากเพลงของ "สาลิกา กิ่งทอง" นักร้องจากแดนใต้ว่าผ้าขาวม้ามีประโยชน์มากมี
มัวแต่โม้สาระดี ๆ จากใต้ให้ฟังจนเพลิน หรือไม่เพลิน ไม่เข้าเรื่องเสียที เอ๊ะนี่มันก็ยังอยู่ในเรื่อง เมื่อตักอาหารใส่ถาดเรียบร้อยสมาชิกในครอบครัว และแขกก็จะนั่งพับเพียบนั่งขัดสมาธิล้อมถาดกันเป็นวง ไม่ใช่กลัวว่าอาหารมันจะวิ่งหนีนะ ใครถนัดนั่งยอง ๆ ก็ได้แต่โบราณว่าไม่สุภาพ ไม่สอนให้นั่งแบบนี้ ถ้าหากวงใหญ่เกินไปก็ต้องแยกวง แบ่งเป็นสองสามสำรับก็ว่าไป ทั้งนี้ไม่ขัดต่อกฎระเบียบว่าด้วยการรับประทานอาหารนั่งล้อมถาดแต่อย่างใด
ว่าจะไม่โม้แต่ยังขืนเข้าไปอีก นี่เอาไม่อยู่แล้วก็ขอโม้ต่อแล้วกัน นี่มันมืดพอดิบพอดีจะทานเห็นกันอย่างไร สมัยนั้นแสงสว่างที่ใช้ชนิดดีที่สุดของที่สุดก็คือตะเกียงรั้ว ที่ว่าดีเพราะไม่ค่อยมีเขม่า ลมพัดแรงก็ไม่ยอมดับ แสงสว่างก็ดีด้วย รองลงมาเห็นจะเป็นไต้ จะใต้ เหนือ อีสาน หรือกลางก็เรียก "ไต้" มิเคยใจอ่อนเออ ออเปลี่ยนชื่อไปตามภาค แม้ลมแรงใต้ก็ไม่ค่อยดับเช่นกัน ดับไฟไต้ไม่ยากเลย จับไต้ให้ตั้งฉากแล้วกดขยี้ลงบน "แม่ไฟ" ไฟไต้ก็ดับ เหตุที่ไฟไต้ดับยากเพราะหน้าตัดไฟที่กำลังลุกโชติช่วงมันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ สามนิ้วเศษ นี่ "ไต้ใหญ่" นะ ถ้าเป็นไต้เล็กเส้นผ่าศูนย์กลางก็แค่หนึ่งนิ้วเศษ ไต้มีข้อเสียที่เขม่ามาก ใช้นาน ๆ ใบหน้าจะกลายเป็นทหารพรางตัวโดยไม่รู้ตัว หรือไม่ก็กำลังแต่งหน้าจะแสดงเป็นตัวจำอวด หรือไม่ก็เจ้าเงาะนั่นแหละ
คืนนี้ที่บ้านลุงมีตะเกียงชั้นเลวสักหน่อยคือ "ตะเกียงขลุก" ตะเกียงขลุกมีเขม่ามากเช่นกัน ลมแรงก็จะดับ ตะเกียงขลุกชื่อทางใต้ ทำได้ง่าย ๆ เอาน้ำมันก๊าด หรือโซล่าใส่ขวดแล้วเอาสำลี นุ่น หรือผ้าขี้ริ้วอุดที่ปากขวดให้แน่น พอเห็นว่าตะเกียงแสงรี่ลง ม่อยลงก็ "ขลุก" ให้น้ำมันในขวดไหลมาที่จุก "ขลุก"ตรงกับภาษากลางว่า"ยอก" หรือ "เขย่า"ตอนนี้คงรู้จักตะเกียงขลุกกันได้แล้วนะ พอพูดถึงตะเกียงขลุกก็ขอต่อเรื่องจริงแต่ตลกสักนิดน่าจะดี
เรื่องนี้ต้นเรื่องมาจากชาวสวนยางพารา สวนยางแปลงนี้อยู่บนเนินเขา ไฟฟ้าเดินทางไปไม่ถึง ผัวเมียคู่นี้ต้องไปนอนที่ขนำในสวนยาง ไฟฟ้าไม่มี ตะเกียงขลุกเป็นตัวช่วยที่สำคัญ ประมาณสี่นาฬิกาต้องตื่นไปกรีดยาง คนใต้เรียกว่า "ตัดยาง" เจ้าหนุ่มนึกอย่างไรไม่ทราบคิดว่าก่อนจะตัดยางในสวนต้องตัดยางต้นที่ขนำก่อน ก็ลงมือลงไม้ลงมีดกรีดยาง เมียก็ไม่ว่าอะไรร่วมมือในการกรีดยางสวนนี้เป็นอย่างดี ขณะกรีดยางก็ใช้แสงสว่างจากตะเกียงขลุก เจ้าหนุ่มนึกอย่างไรก็ไม่รู้ คงนึกอยากจะกรีดยางให้ดีให้น้ำยางออกมากกระมัง จึงขลุกตะเกียงเพื่อดูหน้ายางให้มันชัดเจน ก็ลงมือขลุกตะเกียงเพิ่มแสงสว่าง ขลุกสองสามครั้งยังไม่สมใจ มองหน้ายางด้วยยังดำ ๆ มืด ๆ ไม่ค่อยชัดตาเท่าไร เจ้าหนุ่มจึงขลุกแรงขึ้น ขลุกตำแหน่งตรงหน้ายางเสียด้วย จะเป็นบุญหรือบาปหรือกรรมมาแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จุกตะเกียงขลุกเกิดหลุด น้ำมันรดราดหน้ายางพอดี ท่านก็คงทราบเป็นอย่างดีว่าหน้ายางต้นนี้มันปกคลุมด้วยหญ้าอันอ่อนนุ่ม หญ้านี้เองที่เป็นเชื้อไฟอย่างดี ท่านลองนึกภาพดูว่าไฟจะลุกโชติช่วงที่หน้ายางสักขนาดไหน เสียงบ่นเสียงด่าจากเจ้าของสวนยางออกมาสารพัด พังไม่ได้ศัพท์ ผลจากการไฟไหม้หน้ายาง ยางสวนนี้ไม่ได้ตัดนานถึงแรมเดือน ฮะฮา
ขอวกกลับมาเรื่องเดิมนะครับ วันนี้ลมแรงเจ้าตะเกียงขลุกของลุงต้านไม่ไหวเลยดับ ตะเกียงดับกลับเป็นเรื่องดีของแขกหน้าใหม่ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของญาติ เขาเล่าว่าแขกใหม่ เขยใหม่มักจะเกรงใจเจ้าบ้าน นั่นมารยาทอันดีงามที่เขาปฏิบัติกัน การเกรงใจนี้เองที่ทำอะไรแบบกล้า ๆ กลัว ๆ หรือกลัว ๆ กล้า ๆ ทำอะไรก็ไม่ค่อยกล้าแม้แต่กินก็ยังรู้สึกเขิน ๆ ไม่กล้าจู่โจมฆ่าศึกแม้เป็นแค่กับข้าว ไก่บ้านต้มแบบสูตรโบราณ ใส่ตะไคร้หอม บวกข่า แถมขมิ้นที่ตบตีอย่างแหลกจนทำเอาน้ำต้มไก่เป็นสีเหลืองตามธรรมชาติ พิศดูแล้วน้ำลายไหล ปลาม้ายงใส่หนางก็ยวนตาแท้ หันไปดูแกงเนื้อย่างแบบแกงกะทิเคี่ยวมันอย่างลอยอวดโฉมร่วมกับใบส้มแป้นขี้ม้า ส้มแป้นก็คือส้มเขียวหวานทางภาษากลาง หากไปเรียกส้มเขียวหวานขี้ม้าฟังแล้วขัดหูคนใต้ ส้มแป้นขี้ม้าลูกของมันเล็กขนาดข้อมือเด็กเห็นจะได้ เปรี้ยวชะมัด หากแต่ใบของมันหอมชะมัด แขกใหม่ดูเมนูเหล่านี้แล้วชักจะอิจฉาเพื่อน ๆ
ที่เป็นญาติเจ้าบ้าน
ฮะฮาโอกาสมาแล้ว แขกใหม่อุทานอย่างดังแต่มิใครได้ยินเพราะอุทานในใจ อีตอนตะเกียงขลุกที่น่าเคารพรักดับนะซี จากนั่นแขกใหม่ลงมือทันที ไม่ใช่ลงมือเดียวลงทั้งซ้ายและขวาเพื่อควาญหาสิ่งที่ชอบ ๆ เมื่อได้มาก็รีบกินแบบจระเข้ทันที ขณะที่ลุงเจ้าบ้านวุ่นกับการหาไม้ขีด บังเอิญเข้าไปใกล้แขกใหม่พอดี เจ้าแขกใหม่ได้อาหารโปรดลงกระเพาะครั้งแรกก็รีบรายงานเพื่อนทราบทันที ด้วยการกระซิบที่หูเพียงแผ่วเบา
แขกใหม่ : กูกินชิ้นใหญ่แล้ว
เจ้าบ้าน : เอาตะ กูทำให้มึงกินนั่นแหละ (กระซิบตอบ)
เจ้าบ้านจุดตะเกียงขลุกไฟสว่างอีกครั้ง เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เข้าสู่ปกติ แขกใหม่ผู้มีเสียงกระซิบที่เบาที่สุดในโลกยังมีความกระวนกระวายใจอยู่บ้าง แต่ก็คิดหักล้างได้ด้วยเหตุที่มีแขกใหม่สองคน อ้ายคนที่กระซิบเจ้าบ้านจะรู้หรือว่าเป็นคนไหน รู้จักแก้ปัญหาหัวใจนี่
เหตุการณ์สนุกช่วงที่สองเริ่มเปิดฉาก เป็นฉากที่ดุเด็ดเผ็ดมันมาก ๆ ฉากนี้เป็นฉากตอนเข้านอน แขกใหม่แสดงเป็นตัวเอก ก็คนเดิม อ้ายจระเข้ที่กิน "หนางปลาม้ายง" ไง ปลาม้ายงเป็นปลาทะเลที่ชาวใต้รู้จักดี ตัวคล้ายปลากด ขนาดใหญ่บางตัวมีน้ำหนักถึงประมาณ 7-8 กิโลกรัม "หนางปลาม้ายง " เป็นอาหารประเภทเดียวกับ "ปลาส้ม"ของทางภาคเหนือ และอีสาน วิธีการทำผิดกันบ้างแต่รสชาติคล้าย ๆ กัน ปลาส้มหมักด้วยการใส่ข้าวเหนียวต้มสุกน้ำตาล เกลือ และอาจจะใส่กะเทียมคล้ายเป็นเครื่องเคียงทำให้กลิ่นหอมชวนชิม ส่วนหนางหมักด้วยน้ำผึ้ง หรือน้ำตาลเกลือ
เจ้าหนางม้ายงทำเอาแขกจระเข้ถึงกับโกรธตัวเอง เพราะท้องปลุกให้เจ้าจระเข้ตื่น ที่ปลุกให้ตื่นเพื่อบอกให้รู้ว่าหนางม้ายงเปิดศึกสงครามกับลำไส้ใหญ่ และลำไส้เล็ก อาวุธหนักที่ใช้มีอย่างเดียวคือระเบิดชนิดภาคใต้เรา ระเบิดดังกล่าวคงมีน้ำหนักหลายกิโลกรัม สังเกตจากเสียงซึ่งทำเอาเจ้าหลานเจ้าของบ้านอายุประมาณ 3 ขวบเศษถึงกับตื่นระเบิดยิ่งรุนแรง สะเก็ดระเบิดกำลังทะลุทะลวงออกทางช่องปากถ้ำที่ชื่อว่า "ถ้ำตออูดอ" ฟังชื่อใกล้เคียงกับสถานที่ทางปักษ์ใต้จริง ๆ เมื่อระเบิดเริ่มรุนแรงหนักเข้า เจ้าของพื้นที่ต้องสะกิดเพื่อนเพื่อไปช่วยระงับเหตุการณ์ ด้วย
หนทางที่เดินไปแสนจะลำบาก ก็หมาของลุงอย่างไร มีถึง 3 ตัว แต่ละตัวดุไม่น้อย เมื่อทั้งสามคนทำท่าจะลงบันไดเจ้าสามหมา ดำ ดอย ดอก ก็ตะคอกใส่ทันที เจ้าจระเข้หัวไวกว่าเพื่อน บอกเพื่อนทันที
จระเข้ : เอาบันไดทอดออกไป เอ็งสองคนช่วยกดปลายบันไดไว้ ข้าจะไต่ออกไปพอประมาณ
เพื่อน : ได้ หัวมันดีนี่หว่า
อ้ายจระเข้หัวมันดีจริง ๆ สามหมาจะปีนบันไดก็ไม่ได้ พอปล่อยสะเก็ดระเบิดใส่มัน เงียบ.. เงียบ เหมือนยังกะไม่มีหมาอีกแล้ว พอปาระเบิดเสร็จ ภารกิจควบคุมพื้นที่ดูดีและได้ผล เจ้าจระเข้ต้องใช้น้ำราดปากถ้ำ "ถ้ำตออูดอ" เพื่ออำพรางร่องรอยสักนิด อ้ายสหายรักถึงบางโอกาสก็ใช้ง่าย บางโอกาสก็ใช้ยาก มาเที่ยวนี้ใช้ง่ายจังเลย
จระเข้ : เอาน้ำให้ข้าหน่อย พูดด้วยอารมณ์แจ่มใส
เพื่อน : ได้ พูดเสร็จลุกขึ้นทันที
การใช้ง่ายครั้งนี้มีผลเสียไม่น้อย ตอนนี้เหลือคนกดบันไดเพียงคนเดียว มันจะเอาไหวรึ จระเข้ต้องดิ่งพสุธาชนิดร่มไม่กาง โชคดีเจ้าสามหมาไม่วุ่นวายอะไร แต่สะเก็ดระเบิดนั่นซิ มันโดนเข้าเต็มตัว ดีที่สามเกลอช่วยกันเลียสะเก็ดระเบิดให้ ทุกอย่างพอไปได้แม้จะไม่ดีนัก
ฉากใกล้รุ่งอรุณ สงครามไม่สงบอย่าเพิ่งนับศพทหาร นี่มันสงครามที่ยืดเยื้อจริง ๆ อะไรกันหนักกันหนา นี่ด้วยผลประโยชน์นี่เองที่ทำให้สงคราม "ถ้ำตออูดอ" ไม่จบสิ้น ถ้าไม่มีผลประโยชน์รับรองว่าสงคราม "ถ้ำตออูดอ"สงบไปแล้ว ก็มีจระเข้อีกตัวที่กบดานอยู่ สมเป็นจระข้ตัวใหญ่จริง ๆ ตัวนี้โดน "หนางม้ายง" ถึงสามชิ้นโต ๆ แต่ยังเพิ่งมีอาการ กบดานเงียบไม่โผล่หัวให้น้ำ ปลาม้ายงคงหลับไปชั่วขณะ บัดนี้ปลาม้ายงตื่นแล้ว อ้ายเข้ตัวนี้มันไม่พึ่งเพื่อนมันเลย คลานไปหากระโถน จะจับจองไว้แล้วก่อนนอนก็ไม่ทราบ จัดการเอาระเบิดซุกไว้ในกระโถนใบใหญ่ ระเบิดขนาด 1.5 กิโลกรัมเห็นจะได้ วัดจากปริมาณที่เกือบจะเต็มกระโถน
ฉากขว้างระเบิดเป็นฉากที่น่าตื่นเต้น คืนนี้มีแสงจันทร์ ลอดทางหน้าจั่วบ้าน บ้านสมัยก่อนหน้าจั่วบ้านมักจะปล่อยไว้ไม่กั้นเพื่อให้ลมโกรก บางที่ยังเรียกว่า "ปั้นลม" ซึ่งมีความหมายคนละอย่างกับภาษากลาง โคตรอ้ายเข้มีท่าที่สดสวย มือซ้ายยกชี้ตรงไปที่ "ปั้นลม" คล้ายเป็นตัวชี้เป้าว่าตรงนี้นะอ้ายมือขวา มือขวาจับขอบปากระเบิดลูกใหญ่ยกขึ้นมาเตรียมไว้ระดับสูงเคียงไหล่ พร้อมที่จะปาระเบิดเข้าตรงใจกลางปั้นลม เสี้ยววินาทีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ระเบิดแล้ว ระเบิดแล้ว มันระเบิดจริง ๆ ความแม่นยำมันถึงขนาดนี้เชียวรึ ลูกระเบิดเข้าตรงกลางหน้าจั่วพอดี ตรงกลางช่องปั้นลมพอดี ระเบิดมันก็โดนเสาดั้งนะซี คราวนี้สะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วห้อง ทุกคนต่างก็ถูกเก็ดระเบิดไปตามกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ปา เจ้าหนูน้อยวัยสามขวบเศษที่พอมองเห็นเขาจากแสงสลัวของแสงจันทร์เจ้ากำลังแลบสิ้นเลียสะเก็ดระเบิดอย่างเอร็ดอร่อย
ทุกอย่างจบลงด้วยความสุขไม่มีการถือสากันอย่างใด ให้อภัยได้ทุกกรณี นี่คือความรักอย่างจริงใจของคนสมัยก่อน มาเถอะครับมาทบทวนของเก่า แล้วเราย้อนกลับอดีตที่ตั้งอยู่บนคุณธรรมซึ่งเป็นความสงบสุข สันติสุขของเพื่อนมนุษย์ที่แท้จริง http://naturedharma.com/data-1646.html "ผมรู้สึกละอายตัวเอง ที่ยังตอบแทนคุณสิ่งแวดล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้อย่างที่ใจพึงปรารถนา
เป็นเพราะใกล้วันจะตายเข้าทุกวันด้วยสูงวัย นึกอย่างนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกเสียดายการตอบแทนสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ด้วยเห็นว่าเวลามันยิ่งหดตัว ยิ่งสั้นเข้าทุกที แม้จะรีบเร่งทำอะไร ๆ ให้ได้มาก ๆ ก็ไม่ได้ดังใจเพราะ
อุปสรรค์ของสมรรถภาพทางกายเป็นตัวจำกัด
ขณะนี้ถึงนึกเสียดายช่วงเวลาความเป็นหนุ่มที่ไม่ได้เห็นความสำคัญ
ที่จะทุ่มเทกำลังกาย และทุ่มเทสมองเรื่องที่ตัวเองเห็นอยู่ขณะนี้
แต่ก็ยังรู้สึกภูมิใจตัวเองอยู่บ้างที่ได้คิดได้ทำในเรื่องที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ "ธรรมชาติธรรม"
ใครจะเห็นด้วยกับผมสักกี่คนก็ตามที แต่ผมเชื่อว่าผมเห็นอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว มั่นใจจะก้าวเดินต่อไป"