ขอบคุณรูปภาพจาก Internetน้ำนมสีแดง
แจ่มจันทร์เจ้าฉายแสงทอหน้าผาอาบสีเงินยวงอย่างวิเวกวังเวงจากฟากฟ้าพู้น ประกายดาราร่วงรุ้งเรียงรายลงดั่งสายพิณพิเศษ แม้มีหัตถ์ทิพย์แห่งความเป็นไปเอื้อมเลยจากเงื้อมผาขาว ดีดสายพิณพิเศษนั้น ก็จะเป็นลำนำซับซ้อนมิติภพชาติสะท้อนคลื่นกระแสกรรมไปหลายดาราจักร
บรรยากาศสงบนิ่งชักชวนมวลอนุภาคแห่งเรณูหอมบุหงาลดามาลย์อันอ่อนหวานนั้น ลอยล่องตรลบหอมลงตรงซอกหุบเหวลึก ระหว่างโตรกชะโงกเงื้อมง้ำมีกระแสแควป่าคดเคี้ยวหลากไหลไปดั่งพญานาคราชร้ายพรายเกล็ดเหลือบสีกลางคืน ประกายเกล็ดประดับด้วยแสงดาวระยับวับวาวเลื้อยแล้วสงบนิ่งเล่ห์หลับไหลอยู่ใต้แสงเสี้ยวเดือนทองคำ คืออัจกลับแก้วของปฐพี
ท่ามกลางป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัยใหญ่กว้างอ้างว้างนั้น คลื่นแห่งเทือกขุนภูผาสลับซับซ้อน เสียงหมาป่าเห่าหอนโหยหวนอยู่ที่เงื้อมผาหนึ่งซึ่งสูงเสียดแสงดาว คลื่นเสียงหอนโหยหวนกระเพื่อมวง กังวานไปจนเวิ้งเทือกเขาลำเนาไม้ ค่อยค่อยจางหายแผ่วเบาละลาย ลงในละอองหมอกเมฆกลางดึกดื่น
เสียงสะอื้นเบา ๆ จากเงาของเจตภูติหนึ่งซึ่งเรือง ๆ แสงสกาววาว กำลังทักษิณาวัฏฏ์รอบเงื้อมผาสูง บางรอบก็ห่างออกไป บางรอบก็ใกล้เข้ามาเกือบถึงหน้าผานั้น ประหนึ่งจะร้อยรัดไว้ด้วยอำนาจสายใยแห่งเสน่หาอาลัยไม่ขาดหาย
เสียงสามหมาป่าเห่าหอนโหยหวน เรียกหาแม่หมาป่าในดวงเดือน แต่มันไม่สามารถมองเห็นเจตภูติ คือดวงวิญญาณหนึ่งซึ่งไหว ๆ ระยับแสงสีนิลในรูปแม่หมาป่า เขี้ยวขาวราวแสงดาว แววตาวาวราวเร่าร้อนด้วยเปลวไฟอันปรารถนามาไหม้หัวใจตัวเอง ให้วอดวายดับสลายลงตรงซอกเงื้อมผาป่าชัฏนั้น
ย้อนหลังระลึกไปถึงวาระหนึ่ง ซึ่งรอนรอนแสงพระสุริยา อ้างว้างกลางป่าใหญ่ โพล้เพล้ลงรำไรเริ่มสนธยา แม่หมารีบลงมาตามไหล่เขา กระทั่งถึงป่าโปร่ง ตั้งใจจะหาอาหารไปฝากลูกน้อยทั้งสามชีวิต ซึ่งรอคอยแม่อยู่ในโพรงใต้ซอกเงื้อมหินใหญ่ ณ หน้าผาสูงเสียดแสงดาว
แต่ถึงคราวเคราะห์ร้าย บังเอิญแม่หมาป่าพลาดพลั้งขาหลังข้างหนึ่งไปติดกับเหล็กของนายพรานไพรใจฉกรรจ์ นางอกสั่นขวัญหนีตกใจเป็นที่สุด จึ่งในนาทีอันคับขันนั้น นางตัดสินใจกัดขาตัวเองจนเข่าขาด อิสระเสรีหนีไปได้ แต่เจ็บปวดแสนสาหัส เลือดไหลตลอดทาง รีบวิ่งเซซังมาหาลูกน้อยในโพรงใต้แท่นหินใหญ่นั้น
สามลูกหมาป่าดีใจ รุมล้อมแม่หมา ขออาหาร วิ่งเวียนซ้ายเวียนขวา รุมรอบมารดาด้วยสุดเสน่หาอาลัย แม่หมาสุดที่จะเจ็บปวดโซเซ เสียหลักล้มลงก็รีบกลับตัวอยู่ในท่าให้นมลูก จ้องมองลูกแล้วสลดใจ เสียงสั่นเครือบอกลูกหมาว่า "ลูกเอ๋ย คืนนี้แม่เหนื่อยเหลือเกินแล้ว ยังหาเหยื่อไม่ได้เลย แต่แม่ยังมีน้ำนมสีแดงเหลืออยู่ ถนอมไว้ให้ลูกทั้งสามเป็นพิเศษ แต่ต้องผลัดกันดูดดื่มทีละตัวตามลำดับ"
ลูกหมาป่ายังไร้เดียงสา ตามประสาสัตว์มันจึงดูดเลือดจากบาดแผลขาหลังตรงเข่าขาดนั้น ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้ำนมพิเศษ เหตุหิวจัดจึงดื่มจนอิ่มทั้งสามชีวิต กระทั่งแม่หมาสุดอ่อนเพลีย ชีพจรเต้นช้าลงเพราะสูญเสียเลือดมาก ลูกหมาตัวสุดท้องถามแม่ว่า "ทำไมน้ำนมของแม่เป็นสีแดงและปนรสเนื้อหวาน ลูกไม่เคยกินเลย"
"ลูกเอ๋ย นี่แหละน้ำนมมื้อสุดท้าย ที่แม่สะสมทะนุถนอมไว้ทั้งชีวิต บัดนี้ถึงเวลาแล้ว แม่ปรารถนาให้ลูกดื่มสิ้นทั้งหัวใจ" เสียงแม่หมาค่อย ๆ แผ่วเบาลง เมื่อสายเลือดจะเหือดหายหมดไปจากกาย สั่งลูกว่า
"เลยสามวันไปแล้ว ถ้าแม่หลับไม่ตื่นฟื้นขึ้น ขอให้พวกเจ้าซึ่งอดอยากหิวโหยแทะกินอสุภซากของแม่เป็นอาหาร รีบเติบโตแข็งแรงรักษาตัวเองให้ได้ สามพี่น้องอย่าทอดทิ้งกัน" หยุดสักสองสามอึดใจ กล่าวต่อไปว่า "วิญญาณแม่จะลาเจ้าไปแสวงหาอาหารในดวงเดือน ถ้าเจ้าระลึกถึงแม่และความรักแท้ของแม่แต่เดิมแล้วไซร้ ให้ลูกไปเรียกแม่ในแจ่มจันทร์จ้า ณ พู้นฟากฟ้าฝั่งฝัน"
พลันแม่หมาก็สิ้นแรง ซบสลบไสลขาดใจตาย
ลูกหมาเห็นแม่นิ่ง และสิ้นลมหายใจก็หวั่นไหวรู้สึกไปถึงความตาย ดั่งที่แม่เคยเล่าให้ฟังแต่หนหลัง ทั้งสามชีวิตวิปโยคโศกเศร้าเป็นที่สุด แล้วซบกับอสุภซากของมารดา นิ่งน้ำตาไหลพรากจากทำนบแห่งหัวใจ ซึ่งพังทลายอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น อันความสุดที่ทุกข์โศกาดูรนั้นเสมอกันทุกรูปนาม ไม่เว้นหมู่มนุษย์และสรรพสัตว์
ล่วงสามทิวาราตรีกว่าแล้ว สามลูกหมาทนหิวโหยไม่ไหว นึกถึงคำสั่งของแม่ในวาระสุดท้ายได้ ก็แทะอสุภซากแม่กินต่างอาหาร จนเติบโตแข็งแรงพอจะช่วยตัวเองได้ สามชีวิตก็ยังจดจำคำมั่นสัญญาอาลัยแม่ไม่เคยหลงลืม จึ่งพร้อมกันไปร่ำไห้ คือหอนอย่างโหยหวนเป็นลำนำเพลงวังเวงอยู่บนเงื้อมผาสูง ปรารถนาให้คลื่นเสียงของลูกน้อยอันเศร้าสร้อยละห้อยหา ก้องกังวานฝั่งฟ้าไปถึงมารดา ณ ดวงเดือนดวงดาวกระจายอยู่ระยับระย้าทั่วฟากฟ้า เพื่อให้ใต้หล้าแลเห็นคุณค่าวิเศษแห่งสุนทรีย์ อันประเสริฐเลิศล้ำนั้นฉันใด
ในโพรงหินใต้เงื้อมผ่า คูหาแห่งมารดาแก้วนั้น อัฏฐิของแม่ก็กระจายอยู่เพื่อเตือนใจสามลูกน้อยให้ละห้อยผูกพันใฝ่ฝันระลึกถึงแต่แม่ไปไม่วางวาย เมื่อสามลูกน้อยได้มาเห็นกองอัฏฐิของมารดา ก็ประดุจดั่งเห็นดวงหน้าแม่ และความเป็นไปในหนหลัง เคยสั่งเสียลูกไว้ ทุกห้องหัวใจหวั่นไหวระลึกถึงคุณค่าน้ำใจของมารดาอันดีงามสุดประเสริฐเลิศล้ำก็ฉันนั้น
กาลจักรก็เคลื่อนคล้อยโคจรไปนับหลากหลายวันเดือนปี ทั้งสามชีวิตก็ยังระลึกถึงมารดาอยู่เช่นนั้นเป็นนิจศีล ยิ่งในวันเดือนเพ็ญ เช่นวิสาขมาสสมัย สามชีวิตจะไปหอนโหยหวนขออโหสิกรรมต่อแม่ ที่ลูกได้ล่วงเกินแทะกินซากของมารดาเป็นอาหาร
ทั้งสามลูกหมามักจะมาจ้องมอง หอนไปหาแม่หมา ณ ป่าช้าจันทรามหาสถานเป็นประจำอยู่ช้านานเช่นนั้น จวบจนวันที่สามชีวิตจวนจะจบสิ้นอายุขัย สามลูกหมาป่านัดกันมาพร้อมใจตาย ยึดเอาเงื้อมผาของมารดาเป็นป่าช้าจิตกาธาน ให้แสงพระสุริยา ทั้งสายฟ้า สายฝน ลมบนหมอกเมฆ และหยาดเหมยหนาว ช่วยชำระล้างกระดูกจนขาวโพลง กระจุยกระจาย ท้าทายแสงเดือนแสงดาว หนาวเย็นยะเยือกอยู่กลางดึกดื่น ณ ชะง่อนเงื้อมผาป่าชัฏช้าอรัญญิกาลัย
รุกขเทพเจ้าป่า ผู้เป็นใหญ่ซึ่งสิงสถิตอยู่ในวิมานมิ่งไม้ อันเลอเลิศด้วยสภาวะทิพยนั้น เล็งเห็นรู้แจ้งสิ้นด้วยกำลังญาณวิเศษ ก่อนจะเอนกายทิพย์ลงสนิทนิทราลัย ทรงสมเพชเวทนาเป็นที่ยิ่ง นิ่งประมวลความรู้สึกสังเวช หวั่นไหว ละลายฝากไว้ในยวงหยาดน้ำค้างเป็นสื่อสัญลักษณ์พิเศษ ซึมหายบอกเล่าให้ทุกเม็ดธุลีทรายดินฟัง ประดุจดั่งลายสือทิพย์ของภพชาติ ซ่อนเร้นไว้ในมิติพิเศษแห่งอันตกาล
ปลงสังเวช รูปนามนิมิตนั้น ซึมหายไปกับเม็ดธุลีทรายดินอันประดุจนาฬิกาแก้วของกาลจักร จะหยดหยาดอำนาจพิเศษแห่งยวงเวลาไว้เตือนแหล่งหล้าฟ้าดินไตร ท่ามกลางความเป็นไป อยู่ชั่วนิจนิรันดร ฯ
อังคาร กัลยาณพงศ์
(ที่มา : หนังสือ ปณิธานกวี ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ (น.๑๐๐))